วันอาทิตย์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2553

RBS # 6 ปลูกต้นไม้ที่บ้านคลองบ่ง

       รถกระบะจำนวนหลายคันที่มาจอดรอเหล่าอาสานั้น บัดนี้ค่อย ๆ เคลื่อนออกจากสวนลุงโชคท่ามกลางสายฝนที่โปรยปรายลงมาพอให้ชุ่มฉ่ำกาย อาสาหลายท่านถูกห่อหุ้มด้อยเสื้อกันฝนตัวใหญ่เพียงเพื่อปกป้องตัวเองจากสายฝนพรำ ที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดสักที ในขณะที่บางท่านนั้นปล่อยให้สายฝนกระทบร่างกาย ผมเองก็เตรียมเสื้อกันฝนติดมาด้วยเหมือนกัน แต่ปล่อยให้นอนนิ่งเฝ้าเต็นท์ดีกว่า ในเมื่อเรามาเพื่อใกล้ชิดกับธรรมชาติแล้วจะปล่อยให้เรื่องแค่นี้มาบันทอนความรักธรรมชาติของเราทำไมกัน ว่าแล้วก็ ลุยโล๊ดดดดดดดดดด



    โชเฟอร์พาพวกเราอาสากลุ่มสีเขียวและกลุ่มสีเหลืองมาที่หมู่บ้านคลองบ่ง โอ๊ย....... นี่พวกเราต้องปลูกต้นไม้บนยอดเขาเลยเหรอนี่ แค่เห็นยอดเขาที่จะต้องปีนขึ้นไปปลูกก็ท้อแล้ว หนำซ้ำพื้นที่ที่รกอีก หรือนี่จะเป็น คำนิยามของการปลูกป่า




   
       
     และแน่นอนครับ คนเราจะทำอะไรทั้งที่ อยู่ๆจะทำเลยไม่ได้ ต้องมีประธานเปิดงานกันสักนิด พื้นที่รอบบริเวณนี้เป็นพื้นที่จัดสรรใหม่โดยภาครัฐ โดยที่จะแบ่งให้เกษตรกรคนละ 2.5 ไร่ เพื่อทำมาหากิน ซึ่งเกษตรการในละแวกนี้จะเป็นเกษตรกรรุ่นใหม่ ๆ พิธีเปิดถูกดำเดินการไปอย่างเรียบง่าย มีการกล่าวต้อนรับจากผู้นำชุมชนถึงที่มาของการปลูกป่าในครั้งนี้ รวมไปถึงการแนะนำวิธีการปลูกป่าตามแบบฉบับของลุงโชค






        ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับ ด้วยสภาพที่ต้องปลูกบนเขาที่สูงชัน จึงไม่ใช่เรื่องงายเลยที่ภารกิจจะสำเร็จลุล่วงด้วยดี สายฝนที่โปรยปรายก่อนหน้านี้ได้หยุดลงแล้วคงเหลือเพียง ยังคงเหลือเพียงสองสิ่งที่ฝนทิ้งไว้ให้นั่นก็คือ ความชุ่มฉ่ำ และก็ ลื่น !!!!! แต่นั่นมามิอาจทำให้ความตั้งใจอันแรงกล้าของเหล่าอาสาลดลงแต่อย่างใด เมือได้สัญญานเริ่มต้น บรรดาสาต่างก็เร่งจับคู่บัดดี้กันกับน้อง ๆ นักเรียนตัวน้อยและชาวบ้านที่มาร่วมงานในครั้งนี้ เห็นใหมหละนอกจากจะได้ปลูกป่าแล้วยังเป็นการเชื่อมสัมพันธ์กันอีกด้วย พร้อมกับหอบหิ้วต้นกล้าคนละต้น สองต้น (แล้วจะครบ 1800 ไหมเนี้ย) บ้างก็ขอเดินตัวเปล่าดีกว่า (เพราะแค่จะพาร่างกายไปให้ถึงจุดหมายก็ลำบากแล้ว) ยังดีที่น้อง ๆ และชาวบ้าน ได้นำต้นกล้าไปลงหลุมเตรียมเอาไว้ให้แล้วบางส่วนนั่นเอง



      เมื่อต้นกล้าต้นสุดท้ายถูกกลบด้วยดิน นั่นหมายถึงภารกิจของพวกเราในวันนี้สิ้นสุดลงแล้วอย่างภาคภูมิ บางท่านอาจปลูกได้มากถึง 50 ต้น บางท่าน อากปลูกได้เพียง 5 ต้น ส่วนบางท่าน ไม่ได้ปลูกเลย หรือยิ่งกว่านั้น นอกจากจะไม่ได้ปลูกแล้ว ยังไปเหยียบต้นกล้าที่ปลูกอีกด้วย แต่นั่นไม่ไช่สาระสำคัญเลย การได้เข้าร่วมกิจกรรมปลูกต้นไม้ที่ดำเนินไปท่ามกลางความสุข ความสมัครสมาน สามัคคี ความเอื้อเฟื้อช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และรอยยิ้มที่เกิดขึ้นต่างหากหละครับที่เป็นสาระที่สัมคัญที่สุด (ผมว่านะ) ต่อจากนี้ไปก็คงเป็นชาวบ้านที่อยู่ละแวกนี้สินะครับที่จะต้องดูแลรักษาให้ต้นกล้าที่ได้ปลูกกันในวันนี้ให้เจริญเติบโตขึ้นมาเป็นป่าใหญ่ที่สมบูรณ์ต่อไป



                       “การปลูกต้นไม้ทำได้ง่ายไม่ยาก แต่การดูแลรักษานั้นทำได้ยากไม่ง่าย “

RBS # 5 ลุงโชค

เหล่าอาสาพร้อมหน้ากันอีกครั้งในศาลา 108 ตัวแทนโครงการกล่าวเปิดงาน และที่สำคัญ การปรากฏกายชองชายผู้หนึ่งที่ทำให้เหล่าอาสาต่างตกอยู่ในภวังค์ ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่ ท่าทางทะมัดทะแมง ไว้เครา ย้อมผมสีขาวปกปิดร่างการด้วยกางเกงสามส่วนกับเสื้อม่อฮ่อม และมีผ้าขาวม้าพาดไหล่ขวาเอาไว้ ดูโก้ทีเดียว น้ำเสียงอ่อนนุ่มของชายผู้นี้ที่เปล่งออกมาแต่ละคำนั้นช่างไพเราะเสียเหลือเกิน ชวนฟังยิ่งนัก ไหนจะบุคลิกภาพที่ชวนให้น่าหลงใหลเป็นที่สุด นี่ผมคงตกหลุมรักเข้าให้แล้ว


การกล่าวต้อนรับพวกเราเหล่าอาสาผู้มาเยือน ของชายผู้นี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย เรื่องราวต่าง ๆ ที่ได้ยินล้วนแต่ทำให้บรรดาเหล่าอาสาทุกคนอมยิ้ม อึ้ง ทึ่ง ในสิ่งที่ชายผู้นี้บรรยายออกมา ด้วยเวลาที่จำกัดทำให้การสร้างอานาจักรแห่งนี้ถูกเปิดเผยอย่างคร่าว ๆ เท่านั้น แต่ก็ทำให้ทราบได้ว่า การสร้างอานาจักรแห่งนี่ไม่ไม่ได้สร้างกันภายในพริบตา ไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เป็นการใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมาก ความล้มเหลว ความยากลำบาก การดูถูกเหยียดหยามจากผู้ไม่รู้ การลองผิดลองถูก จนกระทั้งทุกวันนี้ผลจากความพยายาม ความคิดดีทำดีได้เกิดผลสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ให้ผู้คนได้นำไปเป็นแบบอย่าง เป็นแหล่งพักผ่อนหย่อนใจ เป็นแหล่งเรียนรู้ รวมไปถึงฐานปฏิบัติการพิทักษ์เขาแผงม้าอีกด้วย

“ลุงโชคดี ปรโลกานนท์”

                                             ถ่ายคู่กับลุงโชค แอบเขิลลลล